8 วิธีบำรุงผิว

การบำรุงผิวอย่างถูกวิธี และเตรียมสภาพผิวหน้าให้พร้อมรับการบำรุงรับรองว่าสาว ๆ จะมีผิวสวย
จากการได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่
จากครีมบำรุงผิวที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแน่นอนค่ะ
ลองมาดูกันค่ะ

1. สครับผิว
เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดที่เริ่มหมดสภาพ
จะทำหน้าที่คล้ายกำแพงที่ขัดขวาง
ไม่ให้สารบำรุงผิวต่าง ๆ ผ่านลงสู่ชั้นผิวด้านล่างได้สะดวก
ทำให้ผิวชั้นล่างไม่สดใส
รวมทั้งชั้นบนเองก็หมองคล้ำอย่างเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
ลองสครับผิวด้วยสครับสูตรอ่อนโยนเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
เพื่อขจัดผิวที่เสื่อมสภาพชั้นบนสุดออก
เปิดทางให้ผิวชั้นล่างที่สดใสกว่าขึ้นมาทดแทน
พร้อมทั้งรับการบำรุงได้อย่างเต็มที่ด้วย

 2. เรียงลำดับการใช้ครีมบำรุงอย่างเหมาะสม
หากคุณต้องการให้ครีมบำรุงผิวชนิดใดออกฤทธิ์ดีที่สุด
ก็ต้องทาครีมชนิดนั้นเป็นลำดับแรก
อย่างเช่น หากต้องการให้รอยด่างดำดูจางลง
ต้องใช้ครีมลดรอยด่างดำก่อนครีมบำรุงผิวชนิดอื่น
หากคุณต้องการแก้ปัญหาผิวสองอย่างควบคู่ไปด้วยกัน
อย่างเรื่องสิวและรอยด่างดำ
ให้สลับใช้ครีมทั้งสองนั้นเป็นลำดับแรก
สลับกันในช่วงเช้าและเย็น
อีกหนึ่งประการในการใช้ครีมบำรุงก็คือ
ครีมที่มีความเข้มข้นน้อยไปหาครีมที่มีความเข้มข้นมาก
จะทำให้สามารถซึมซาบลงสู่ผิวได้ดีพอ ๆ กัน
ตามลำดับความเข้มข้น

 3. ใช้ครีมบำรุงหลังล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ 
ผิวหน้าที่เพิ่งผ่านการล้างมา
มีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำ
จะดูดซับสารบำรุงต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยม
หลังอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ
จึงเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการทาครีมบำรุงผิว

4. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
การล้างหน้าด้วยน้ำพออุ่น ๆ
เป็นการวอร์มผิวให้พร้อมรับการบำรุง
อุณหภูมิจากน้ำอุ่นจะทำให้
เซลล์ผิวรวมทั้งเส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังขยายตัว
เพื่อคายความร้อนที่สูงขึ้น
มีพื้นผิวที่พร้อมรับสารอาหารที่มีประโยชน์
จากครีมบำรุงเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

5. ทาครีมเนื้อหนักทับหลังการบำรุงผิว
การทาครีมเนื้อหนัก
อย่างครีมที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียมเจล
เนเชอรัลบัตเตอร์ แว็กซ์ หรือ ออยล์ เป็นส่วนผสมหลัก
เป็นลำดับสุดท้ายหลังจากเสร็จสิ้นการทาครีมบำรุงผิวอื่น ๆ
จะเป็นการกักให้ครีมบำรุงผิวนั้นซึมลงสู่ผิวหน้าและทำงานได้อย่างเต็มที่
แต่มีข้อยกเว้นคือ
ห้ามทำเช่นนี้กับครีมที่มีส่วนผสมของ
เรตินอยด์ วิตามินซี และ ไฮโดรควิโนน ในเปอร์เซ็นต์สูง
เพราะจะทำให้ออกฤทธิ์แรงเกินไป
และเกิดอาการระคายเคืองผิวหน้าได้

6. ใช้เรตินอยด์ในยามก่อนนอนเท่านั้น
ครีมบำรุงอย่างเรตินอยด์
ที่ออกฤทธิต้านการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
 แต่เหมาะที่จะใช้ในเวลากลางคืนเท่านั้น
เนื่องจากรังสียูวีที่มีอยู่ในแสงแดด
จะรบกวนทำให้มันไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ครีมจะทำงานได้ดีขึ้นในยามที่เราหลับ
เพราะในขณะที่นอนอุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้นราวครึ่งองศา
เส้นเลือดฝอยอยู่ใกล้ผิวหนังมากขึ้น
 และขยายตัวกว่าปกติ
ทำให้ผิวหนังสามารถดูดซับสารบำรุงได้ดีกว่า

7. ใช้เซรั่มเพื่อการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก
เซรั่มเป็นการนำเอาสารบำรุงต่าง ๆ
ที่เคยอยู่ในรูปของครีมหรือโลชั่น มาเป็นรูปของเหลว
ซึ่งนอกจากจะเข้มข้นกว่า
เพราะไม่ต้องถูกเจือจางด้วยเนื้อครีมแล้ว
ยังซึมซับลงสู่ผิวง่ายกว่าด้วย
หากอยากบำรุงผิวให้เห็นผลทันใจกว่าการใช้ครีมบำรุง
เซรั่มบำรุงผิวสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ของคุณได้ดีทีเดียวค่ะ

8. จับคู่การบำรุงอย่างเหมาะสม
การจับคู่ครีมบำรุงผิวให้เหมาะสม
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของครีมบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้น
อย่างการจับคู่ระหว่างครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารกันแดด
และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในตัว
เนื่องจากในขณะที่ครีมกันแดดคอยปกป้องผิวจากรังสียูวี
สารแอนตี้ออกซิแดนท์ก็จะทำงานได้ดีขึ้น
เพื่อยับยั้งรังสียูวีที่อาจเล็ดลอดเข้ามาทำลายผิว
และก่อตัวได้ดีขึ้นเพื่อยับยั้งปัจจัยอื่น ๆ ที่จะมาทำร้ายผิว
หากครีมกันแดดที่คุณใช้
ไม่มีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์
ลองใช้ครีมอื่นที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ควบคู่ไปด้วยกัน
ทำได้เช่นนี้ รับรองว่า
สาว ๆ จะมีผิวสวย
จากการได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่
จากครีมบำรุงผิวที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแน่นอนค่ะ

น้ำท่วมโรคที่มาพร้อมกับน้ำ

คำแนะนำดีๆสำหรับยามนี้โดยคุณหมอศิริราช
ช่วงน้ำท่วม โรคภัยที่มาพร้อมกับน้ำ

ภูนาริขอหยิบยกบทความดีๆ
"โรคภัยที่มากับน้ำท่วม"
วิธีการป้องกันรักษาให้คุณๆได้อ่านกันนะคะ 
 
โรคน้ำกัดเท้าหรือ ฮ่องกงฟุต
 
จะมีอาการคันซึ่งเกิดจากเชื้อราที่เท้า
เมื่อเท้าเปียก ๆ ชื้น ๆ จะเป็นบ่อเกิดของเชื้อรา
หากในช่วงน้ำท่วม มักเป็นจากเท้าที่เปียกๆ ชื้นๆ บ่อยๆ 
แล้วไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี
คันตามซอกนิ้วเท้าและผิวหนังลอกออกเป็นขุย ๆ 
เป็นผื่นที่เท้า ที่พบบ่อยจะเกิดตรงซอกนิ้ว 
แต่ก็สามารถลุกลามไปถึงฝ่าเท้าและเล็บได้
รักษาโรคราที่เท้า
ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง 
ใช้ครีมรักษาเชื้อราทา
ถ้าจำเป็นจะต้องเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำควรสวมรองเท้าบู๊ท
 
โรคอุจจาระร่วง  
ขณะเกิดภาวะน้ำท่วมเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
สัมผัสเชื้อจากการกินอาหารหรือ
ดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
จากสิ่งปฏิกูลที่มาจาก น้ำท่วม 
หรือจากการใช้น้ำที่ไม่สะอาดชำระล้างภาชนะใส่อาหาร
เช่น ถ้วย ชาม ช้อน ที่ปนเปื้อนปัสสาวะ อุจจาระ 
ขยะมูลฝอยที่บูดเน่า 
หรือจากการไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมหรือปรุงอาหาร 
จะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารต่าง ๆ ได้
การป้องกัน
1. ดื่มน้ำสะอาด น้ำบรรจุขวด 
ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำที่ท่วมควรต้มให้สุกก่อน
2. ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย
3. ภาชนะที่ใส่อาหารควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำมาใช้
4. กินอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ ที่ไม่มีแมลงวันตอม
5. รักษาความสะอาดในเรื่องการกำจัดขยะมูลฝอย
การกำจัดอุจจาระ ปัสสาวะที่ถูกต้อง
6. หลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระในน้ำที่ท่วม
เพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้
ในภาวะน้ำท่วมสูงควรถ่ายใส่ถุงดำ
แล้วโรยปูนขาวปิดปากถุงให้แน่น
รอเรือเก็บขยะมาเก็บ
7. ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายเองควรปรึกษาแพทย์

โรคตาแดง 
 
สาเหตุ
1. ใช้มือสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคขยี้ตา
2. ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ที่เป็นโรคหรือเล่นกับผู้ป่วย
3. แมลงวันหรือแมงหวี่ตอมตา 
หรือฝุ่นละอองเข้าตามาก ๆ จนตาอักเสบ
4. อาบน้ำในคลองสกปรก หรือที่มีตาแดงระบาด
การป้องกัน
ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคตาแดง   
ล้างหน้าและมือให้สะอาดอยู่เสมอ    
ไม่ควรเอามือขยี้ตา
อาการ 
เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก 
อาการจะมีประมาณ 10 วัน
การรักษา
พักสายตาบ่อย ๆ   
ประคบตาด้วยผ้าเย็น 
และเช็ดตาด้วยสำลีชุบน้ำอุ่น

โรคฉี่หนู Leptospirosis
เชื้อโรคในตัวหนูจะออกมากับฉี่ของหนู 
และปนเปื้อนอยู่ตามแหล่งน้ำ 
ซึ่งเชื้อที่อยู่ตามแหล่งน้ำ
สามารถเข้าทางผิวหนังของผู้ป่วยที่มีบาดแผล 
หรือรอยถลอกที่ผิวหนัง 
และหากบริเวณบาดแผลไปสัมผัสกับน้ำที่มีเชื้อโรคฉี่หนู 
เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ตัวผู้ป่วย และก่อโรคได้   
หลังจากได้รับเชื้อ 
โดยเฉลี่ย 10 วันผู้ป่วยก็จะเกิดอาการของโรค
- ปวดศีรษะทันที มักจะปวดบริเวณหน้าผากหรือหลังตา 
บางรายปวดบริเวณขมับทั้งสองข้าง - ปวดกล้ามเนื้อมาก    
โดยเฉพาะบริเวณ ขา น่อง เวลากด หรือจับจะปวดมาก  
-ไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น
อาการต่าง ๆ อาจอยู่ได้ 4-7 วัน
ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
บางรายมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง 
การตรวจร่างกายในระยะนี้อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตาแดง
การป้องกัน   
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่หรือลุยในน้ำ
 ที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะของสัตว์นำโรค 
ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ท
ล้างเท้าหรือส่วนที่แช่อยู่ในน้ำเมื่อขึ้นจากการแช่น้ำทุกครั้ง
 และรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที- เมื่อมีอาการน่าสงสัย  
เช่น มีไข้ ปวดศรีษะรุนแรง
ปวดกล้ามเนื้อน่อง โคนขา หลัง
หรือมีอาการตาแดง ให้รีบพบแพทย์ด่วน
การรักษา ก่อนอื่นผู้ป่วยจะต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
และยาที่มักจะได้รับ คือ ยาปฏิชีวนะ
(ห้ามซื้อยารับประทานเองเด็ดขาด
เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต)

โรคเครียด

ภาวะเช่นนี้ 
ทุกคนที่ประสบภัยน้ำท่วม 
หรือกำลังอยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงที่อาจถูกน้ำท่วม
ก็จะเกิดภาวะเครียดเป็นธรรมดามากหรือน้อยขึ้นกับหลายปัจจัย 
เช่น ปัจจัยส่วนตัวของผู้นั้นเองว่ามีความมั่นคงทางอารมณ์มากน้อยเพียงใด 
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเพียงใด 
และอีกปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของความ เครียด 
คือขนาดของความเสียหาย หากขนาดของความเสียหายมาก 
ก็มีโอกาสที่จะมีความเครียดรุนแรงได้ หากมีอาการเครียดมากจน 
ทำให้การทำกิจวัตรประจำวันเสียไป 
นอนไม่หลับ ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ 
และแพทย์อาจให้ยาคลายเครียดช่วย
ในรายที่มีอาการมาก จนรบกวนการดำรงชีวิตประจำวัน 
และในรายที่อาการมาก อาจต้องพบจิตแพทย์  
ข้อมูล ข้างต้นที่ได้นำเสนอไปนั้น 
หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตาม คุณหมอและกองบรรณาธิการวารสารศิริราชประชาสัมพันธ์ 
ขอร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบอุทกภัยทุกท่าน
ให้มีกำลังใจฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไป อย่างมั่นคง 

Info: Siriraj E-Public Libray
ดูแลรักษาสุขภาพท่านด้วยนะคะ 
ด้วยความห่วงใย
ภูนาริ108



 
 

เคล็ดลับดี ๆในการใช้ลิปสติก

ลิปสติกที่ใช้กันทั่วไปประกอบด้วย 4 เฉดสี คือ แดง ชมพู ส้ม น้ำตาล
ซึ่งเป็นสีพื้นฐานที่เข้ากับการแต่งกายสีสันต่าง ๆ ได้ง่าย กัน
คุณจะต้องเลือกเฉดสีที่เหมาะกับสีผิวของคุณด้วยค่ะ




สาว ๆ ที่มีผิวสองสี
แนะนำให้เลือกใช้เฉดสีส้ม
และสีที่เหมาะที่สุด
สำหรับสาวผิวสีนี้ก็คือสีโอโรส
แต่ถ้าอยากเลือกใช้โทนสีแดง
ควรเป็นโทนสีแดงอมส้ม
หรือถ้าเป็นโทนสีน้ำตาล
ลองเลือกเป็นสีน้ำตาลอมส้มดูนะคะ
เพราะจะทำให้ใบหน้าของคุณดูกระจ่างใสมากขึ้น
สาวที่มีผิวคล้ำ
สีลิปสติกที่เลือกใช้ควรมีโทนสีแดงผสมอยู่
จะทำให้ผิวหน้าสว่างไสวยิ่งขึ้น
หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกสีคล้ำ
และถ้าหากชอบใช้สีสด ๆ อยู่แล้ว
ควรเลือกสีแดงสดไปเลย
สาวที่มีผิวขาว
คุณสามารถใช้ลิปสติกได้ทุกเฉดสี
เช่น โทนสีชมพู
ทำให้ใบหน้าของคุณดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
โทนสีแดง ทำให้หน้าของคุณดูสว่างขึ้น
มีเสน่ห์สะดุดตาเป็นพิเศษ
แม้แต่โทนสีน้ำตาลทำให้ใบหน้าของคุณดูเท่ขึ้น
สาว ๆ คนใดที่มีปัญหาเรื่องริมฝีปากคล้ำ
ให้ทารองพื้นบนริมฝีปากด้วย
พื่อปรับสีผิวของริมฝีปากให้กลมกลืนกับสีผิว
โดยรวมของใบหน้าแล้วค่อยทาลิปสติกทับ
หรืออาจเลือกใช้ลิปสติก
ที่มีสีเข้มกว่าสีที่ชอบใช้เล็กน้อย
และที่สำคัญควรเลือกลิปสติก
ที่มีคุณสมบัติเนื้อลิปสติกละเอียด
ให้ฟิล์มสีที่แน่นและเนียนนุ่ม







วิธีดูแลเส้นผมที่คุณรัก

ภูนาริขอแนะนำ
เคล็ดลับดี ๆที่คุณสาวๆสามารถ
นำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อความงามของเส้นผม
เพิ่มเสน่ห์บุคลิก
ของความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง
 
สำหรับสาว ๆผมชี้ฟู 
ผมยุ่งพันกันจัดทรงยาก
ควรใช้ทรีตเม้นท์บำรุงเส้นผม
สูตรผมเรียบลื่นไม่ชี้ฟูนุ่มสลวยไม่พันกัน
ลูบไล้ ลีฟ-ออน บนผมที่แห้งหรือเปียก
โดยไม่ต้องล้างออก ก่อนเป่าผม
หรือใช้ควบคู่กับ
ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผม
แค่นี้คุณก็พร้อมที่จะปล่อยผมสวย
ได้ในทุก ๆวันแล้วล่ะค่ะ
สำหรับผู้ที่ผมแห้งเสีย 
แตกปลาย ไม่เงางาม
ควรเลือกหาแชมพูและครีมนวด
ที่มีส่วนผสมของโปร-วิตามิน บี 5
ช่วยบำรุงเส้นผม มอบความชุ่มชื่น
ให้ผมเปล่งประกายเงางาม
อ่อนนุ่มดุจแพรไหม
เส้นผมไม่พันกันพร้อมกับ
บำรุงเส้นผมด้วยเซรั่ม
โดยการลูบไล้เซรั่ม
บนผมที่แห้งหรือเปียก
โดยไม่ต้องล้างออก
เพื่อประสิทธิภาพแห่งผม
เป็นประกายเงางาม จัดทรงง่าย 
แต่ถ้าคุณมีผมแห้งเสียอย่างหนัก
จากการถูกทำลาย
ด้วยความร้อน สารเคมี หรือมลภาวะ
ควรเลือกใช้แชมพูและครีมนวด
สำหรับผมเสียหรือแห้งแตกปลาย
ด้วยสูตรผสานส่วนผสม
ของเคราติน คอนดิชั่นเนอร์
ที่ช่วยบำรุงเส้นผม
ไม่กลับมาแห้งเสียหรือแตกปลาย
ให้ผมนุ่มสลวยดุจแพรไหม
สุขภาพผมดี สวย เป็นเงางาม
พร้อมบำรุงเส้นผม
ด้วยการใช้ทรีตเม้นท์ มาสก์
ชโลมในปริมาณที่พอเหมาะ
ให้ทั่วเส้นผม
ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที
แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
เพื่อประสิทธิภาพแห่ง
ผมสวยแข็งแรงและมีสุขภาพดี 
ถ้าต้องเผชิญกับปัญหา
ผมไร้น้ำหนักจัดทรงยาก
ควรใช้แชมพูและครีมนวด
เพื่อประสิทธิภาพของเส้นผมเหยียดตรง
และเรียบขึ้นพร้อมมอบความชุ่มชื่น
และช่วยป้องกันเส้นผมชี้ฟู
ให้เส้นผมนุ่มสลวย เรียบตรง
เป็นเงางามด้วย สมูทติ้ง ครีม
โดยการชโลมครีม
ให้ทั่วเส้นผมที่เปียกหมาด
หวีให้ทั่วศีรษะ
จัดแต่งทรงผมตามต้องการ
สำหรับผู้ที่มีหนังศีรษะแห้งมีรังแค
ควรใช้แชมพูและครีมนวดที่มี
ส่วนผสมของซิงค์ไพริธิออน
ช่วยลดอาการคันหนังศีรษะ
พร้อมขจัดรังแคให้ผมคุณนุ่ม
ลื่นดุจแพรไหม และมีสุขภาพดี
และอย่าลืมปิดท้าย
ด้วยทรีตเม้นท์บำรุง
ที่จะช่วยคืนชีวิตชีวาให้กับหนังศีรษะ
ถ้าหากคุณต้องการจัดแต่งทรงผม
ให้อยู่ทรงตามต้องการ
โดยไม่ต้องพึ่งร้านทำผม
เพื่อเป็นการประหยัดเวลา
และทำให้คุณรู้สึกสบายกระเป๋าแล้วละก็
ลองหาเจลหรือสเปรย์จัดแต่งทรงผม
สำหรับทุกสภาพผม
ที่สามารถตกแต่งทรงผม
ให้อยู่ทรงตามสไตล์ที่คุณต้องการ
ลองใช้สูตรแอลกอฮอล์-ฟรี
จะช่วยในการบำรุงเส้นผม
แค่นี้ก็ทำให้ผมของคุณ
อยู่ทรงนานหลายชั่วโมง
พร้อมบำรุงเส้นผมนุ่มสลวย
มีน้ำหนักจัดทรงง่าย
คุณสาว ๆ เตรียมพร้อมต้อนรับผมสวย
อย่างใจต้องการ
จนใคร ๆ ก็รู้สึกอิจฉาเลยล่ะค่ะ


เทคนิคแต่งหน้าสไตล์สาวเกาหลี

ใครๆก็อยากสวยใสแบบสาวเกาหลี
ภูนาริมีเคล็ดลับดีๆมาบอก
รับรองเลยนะคะว่า
การแต่งหน้าครั้งต่อไป
คุณสาวๆจะดูเกาหลีสุด ๆ 
สวยวิ้งวิ้งเลยล่ะค่ะ
สิ่งจำเป็นที่ต้องมี...
 
BB Cream เป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้
เรียกได้ว่าขาดเธอขาดใจ
หัวใจสำคัญคือเลือกสีให้เหมาะกับผิวหน้า
บีบี ครีมนอกจากจะให้แทนรองพื้นได้แล้ว
ยังช่วยให้ผิวหน้าดูสุขภาพดีอีกด้วย 
แป้งฝุ่น แป้งหนา ๆ .. เราไม่เอา
อย่าคิดไปว่าโบกแป้งหน้าๆจะได้ดูเนียนเด้ง
จริงๆแล้วสีผิวหน้าเราดูดี
ควรแก่การโชว์จะตายไป
การลงแค่แป้งฝุ่นจะดีกับคุณมากกว่า
เพราะแป้งพัพอาจเกิด
การเปลี่ยนสีเมื่อโดนเหงื่อ
หรือเวลาผ่านไป ยิ่งทำให้หน้าดูหมอง
สังเกตุเวลาที่เช็ดเครื่องสำอาง
ผิวของเราดูดีกว่าตอนมีแป้งเยอะเลย
อายแชร์โด้ เป็นอีกไอเทม
ที่ขาดไม่ได้เลยนะ
อย่าคิดว่าไม่ใช้ก็ไม่มีใครเห็น
ดวงตาใสๆของสาวๆเกาหลี
หากคุณมองใกล้ๆ
พวกเธอทาอายแชร์โด้ไว้ตลอดล่ะ
เพราะไม่ได้เป็นสิ่งยุ่งยากอะไร
ขอแค่ใช้อายแชร์โด้สีเบจ
สีประกายเล็กน้อย
หรือสีชมพูอ่อนทา
ไปบนเปลือกตาก่อนเขียนอายไลน์เนอร์
ก็ช่วยสร้างความดึงดูดได้อย่างลับๆ
มาสคราร่า จะบอกว่า
สำคัญกว่าอายไลน์เนอร์อีกนะ
ขนตางอนๆช่วยให้ผู้หญิงดูอ่อนโยน
ทุกครั้งที่กระพริบตาหนุ่ม
เป็นต้องหันมามองทุกครั้ง
เพียงแค่ปัดมาสคราร่า
ให้เรียงตัวงอนออกรอบดวงตา
อย่าหวังพึ่งคนตาปลอม
เพราะมันดูไม่ธรรมชาติ
และดูเกินความจำเป็น
อายไลน์เนอร์ ไม่เอ่ยถึงสิ่งนี้คงไม่ได้
แต่สำหรับสาวไทยตาคมแล้ว
การรีดอายไลน์เนอร์ ที่ดูหน้าเกินไป
จะทำให้ดูดุหนุ่มๆไม่กล้าเข้าใกล้แน่นอน
วิธีที่ดาราเกาหลีนิยมใช้กันมากๆ เลยก็คือ
การเขียนขอบตาไว้ด้านใน
โดยเขียนไปตามแนวขอบตาบน
ให้ชิดกับขนตาด้านใน
อย่าหนาเกินแนวขนตา
แค่นี้ก็ช่วยให้ดูตากลมน่าสบตาด้วยแล้ว
ลิปกลอส การลงลิปสติก
นั้นอาจดูมากไป
และทำให้สาวๆดูมีอายุได้
ดังนั้นการทาเพียงลิปกรอสบางๆ
ให้ปากดูสุขภาพดี
เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้สวยและ
ไม่หนักจนเกินไป





ข้อมูลดีๆจาก... Woman Plus

ผิวขาว ด้วยวิธีธรรมชาติ

เคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว
บอกลาผิวหม่นหมอง
ด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ



1. การขัดผิว
เป็น วิธีทําให้ผิวขาว 
ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว 
ใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด 
หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ 
ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  
โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเล
เพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว 
เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ 
หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ 
การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า
ให้หลุดลอกออกไป 
เผยผิวใหม่สว่างใสกว่าเดิม 
ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง 
เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง
2. เอเอชเอ 
หรือกรดผลไม้ 
มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงาม
หรือร้านขายยาทั่วไป 
ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา
เป็น วิธีทําให้ผิวขาว 
เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง 
แต่การใช้เอเอชเอนี้ 
ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด
เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม 
 3. น้ำนมเพื่อผิวขาว 
วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ 
ใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง 
อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ
ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที
ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆขาวขึ้น 
4. ผลไม้รสเปรี้ยวขัดเซลล์ที่ตายแล้ว
ขัดเหงื่อไคล
เป็น วิธีทําให้ผิวขาว
อย่างเป็นธรรมชาติ 
โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว 
เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม 
เพราะมีความเป็นกรด 
ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส
และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
ให้หลุดลอกออกมาได้ 
แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง 
ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรด
ที่มีความเป็นกรดสูง 
ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้ 
5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว 
ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่ง
เพื่อผิวขาวในตอนเย็น 
และทาซ้ำก่อนนอน
ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ
แล้วตามด้วยครีมกันแดด 
หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่ง
ที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ 
แต่หากอยู่บ้าน
ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย 
ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียวทาวันละ 2-3 ครั้ง 
 6. ครีมกันแดด  
ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา 
ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัด
โดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ 
ได้ทันการทันเวลา 
และอย่าลืมว่า 
ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง 
ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิว
หรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ
ผิวคุณจะไวต่อแดดมาก 
จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาที
ก่อนออกแดดทุกครั้ง 
และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง 
7. ทานอาหารให้เหมาะสม 
ให้มีผักและผลไม้ในทุกมื้อ
ช่วยเรื่องของการขับถ่าย 
และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์
ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย 
ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว 
หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 
 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  
การออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล 
และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา 
ทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่
งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 
ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา 
แถมการออกกำลังกาย
ยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว 
ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย 
9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย 
การทานผักผลไม้เพิ่มวิตะมินซี 
เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว
วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส 
หากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ 
อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยา
10. การอบไอน้ำผิวหน้า 
เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตัน
อยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง 
ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส 
เป็นวิธีทําให้ผิวขาว 
และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน
โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ 
เพียงตั้งกะทะหรือหม้อต้มน้ำจนเดือด 
จากนั้นตั้งกะทะหรือหม้อต้มน้ำ
 มาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ
ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน 
และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาด
สิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ 
11. เมคอัพช่วยได้ 
ใช้ครีมรองพื้น
และแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี 
หลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กัน
แตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้า 
ผากและโหนกแก้ม 
ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว
12. สารพัดสูตรพอกหน้า 
นอกจากการขัดผิวแล้ว 
สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า 
รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง 
โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จาก
วัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย 
ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง



ที่มา : kapook.com

หูอื้อ...ทำอย่างไรดี

หลายคนมาปรึกษาว่า
ขึ้น-ลงเครื่องบิน ปวดหู หูอื้อ...ทำอย่างไรดี


หรือบางทีก็บ่นว่าหูอื้อ เป็นเพราะอะไร
ภูนาริมีคำตอบค่ะ

โดยปกติร่างกายเรามีท่อยูสเตเชี่ยน
ซึ่งเป็นท่อที่ช่วย
ปรับความดันของหูชั้นกลาง
ให้เท่ากับบรรยากาศภายนอก
เมื่อใดที่ท่อนี้ทำงานผิดปกติไป
จะทำให้เกิดอาการ
หูอื้อ ปวดหู มีเสียงดังในหู
หรือเวียนศีรษะ บ้านหมุนได้ 

ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
ที่เราพบได้บ่อยคือ
เวลาขึ้นหรือลงลิฟต์เร็วๆ
หรือเครื่องบินขึ้นหรือลงเร็วๆ
จะมีอาการหูอื้อ ปวด

ดังนั้น เราจะทำอย่างไรดี
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาปวดหู
เวลาเครื่องบินขึ้นหรือลง
มีคำแนะนำดังนี้ค่ะ
1.เวลาเดินทาง
ควรป้องกันตนเองไม่ให้เป็นหวัด
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้
ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
เช่น เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
การสัมผัสอากาศที่เย็นมากเกินไป
ขณะนอนเปิดแอร์หรือพัดลมเป่าจ่อ
ไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเพียงพอ
การดื่มน้ำแข็ง น้ำเย็นจัด
หรืออาบน้ำเย็น ตากฝน
หรือสัมผัสอากาศ
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
จากร้อนเป็นเย็นจากเย็นเป็นร้อน
หรือมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูก
หรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง
ควรป้องกันไม่ให้อาการทางจมูก
หรือไซนัสกำเริบ
โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
เช่น ความเครียด
นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
อารมณ์เศร้า วิตกกังวล เสียใจ 
ฝุ่นควัน  อากาศที่เปลี่ยนแปลง
การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
หรือเป็นหวัด
เนื่องจากถ้ามีการอักเสบในโพรงจมูก
จะส่งผลถึงรูเปิดของท่อยูสเตเชี่ยน
ซึ่งอยู่ที่โพรงหลังจมูก
ทำให้การทำหน้าที่ของ
ท่อยูสเตเชี่ยนผิดปกติไป
เกิดปัญหาของหูดังกล่าว
 
ถ้ามีอาการทางจมูก เช่น คัน จาม
คัดจมูก น้ำมูกไหล
และจำเป็นต้องขึ้นเครื่องบิน
ควรใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการทางจมูก
เช่น รับประทานยาแก้แพ้ ยาหดหลอดเลือด
หรือใช้ยาพ่นจมูก อาจร่วมกับการล้างจมูก
หรือการสูดไอน้ำร้อน
เพื่อทำให้การอักเสบภายในจมูกลดน้อยลง
ซึ่งจะส่งผลให้เยื่อบุรอบรูเปิดท่อยูสเตเชี่ยนยุบบวมลง
ทำให้ท่อยูสเตเชี่ยนกลับมาทำงานปกติได้เร็วขึ้น
 
ควรปรึกษาแพทย์ในการใช้ยา
แพทย์อาจจะให้รับประทานยาหดหลอดเลือด
oral decongestant
เช่น pseudoephedrine
ก่อนเครื่องบินขึ้นหรือลง ประมาณครึ่งชั่วโมง
หรือแพทย์อาจจะให้พ่นยาหดหลอดเลือด
topical decongestant
เช่น ephedrine, oxymetazoline
ก่อนเครื่องบินขึ้นหรือลง ประมาณ 5 นาที
ตามแผนการรักษา

3.นอกจากนั้น ควรทำให้ท่อยูสเตเชี่ยน
ทำงานเปิด/ ปิดอยู่ตลอด
ระหว่างเครื่องบินขึ้นหรือลง
ด้วยวิธีการเคี้ยวหมากฝรั่ง
เพื่อให้มีการกลืนน้ำลายบ่อย ๆ
ขณะกลืนน้ำลาย
จะมีการเปิดและปิดของท่อยูสเตเชี่ยน
หรือบีบจมูก 2 ข้างและกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง
ท่อยูสเตเชี่ยนจะปิด
และเอามือที่บีบจมูกออกและกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง
ท่อยูสเตเซียนจะเปิดและปิด
ขณะที่เป็นหวัดหรือไซนัสอักเสบ
มีการติดเชื้อในจมูก
ไม่ควรบีบจมูก และ
เป่าลมให้เข้ารูเปิดของท่อยูสเตเชี่ยน
พราะจะทำให้เชื้อโรคในจมูก
เข้าไปสู่หูชั้นกลางได้
4.ถ้าได้ป้องกันอาการของหู
ก่อนขึ้น/ลงเครื่องบินดังข้อ 2
แล้วยังมีอาการทางหูอยู่
ควรปรึกษาแพทย์
อาจจำเป็นต้องพ่นหรือหยอดยาหดหลอดเลือด
เข้าไปในจมูกอีกทุก 10 -15 นาที
และทำให้ท่อยูสเตเชี่ยนทำงานเปิด/ปิดอยู่ตลอด
ดังอธิบายไว้แล้วในข้อ 3
ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเรื่องหูเวลาขึ้น/ลงเครื่องบิน
ควรพกยาหดหลอดเลือดชนิดพ่น
และชนิดรับประทานไว้ด้วยเสมอ
เท่านี้....การเดินทางก็จะราบรื่น
ปราศจากอาการของหูที่จะรบกวนอีกต่อไป

ที่มา ... แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

สิว...สูตรผิวสวยใส...ไร้สิว

เรื่องดีๆมีไว้บอกเพื่อน
สูตรผิวสวยใส...ไร้สิว
"ความมั่นใจ x จิตใจดี - สิวและผิวมัน = หนุ่มตามจีบ"

  
ทำยังไง ผิวจะสวยใส...ไร้สิว 
จริงๆแล้วแค่มีใบหน้าที่ใสสะอาด
ก็ทำให้สวยน่ามองได้
แต่จะทำอย่างไร
ถ้ามีสิวเป็นอุปสรรค
ปัญหาสิวไม่ใช่เรื่องยาก
แก้ที่ต้นเหตุ
ด้วยการดูแลความสะอาด
และการดูแลฮอร์โมนให้สมดุลนั่นเองค่ะ

สิวกับฮอร์โมนเกี่ยวกันอย่างไร
การที่ร่างกายมีฮอร์โมนแอนโดรเจนมากไป
จะทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันมากกว่าปกติ
เกิดภาวะแอนโดรเจนไนเซชั่น
(Androgenization)ได้แก่
การเกิดสิว ผิวมัน ขนดก

การดูแลรักษาผิวเพื่อป้องกันการเกิดสิว
คำแนะนำจากการแพทย์ผู้เชียวชาญด้านผิวหนัง
มีดังนี้ค่ะ 
 

1.ควรล้างหน้าเช้า เย็นแต่ไม่ควรเกินวันละ3ครั้ง
2.อย่าเช็ดถูหน้าแรงๆ
ควรซับด้วยผ้าขนหนูสะอาดๆเบาๆ
3.อย่าใช้เครื่องสำอางเกินความจำเป็น
4.ถ้าต้องสัมผัสแดดควรใช้ครีมกันแดด

 

5.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
โดยเฉพาะพวกวิตะมินเช่นวิตะมินA-E
6.ออกกำลังกายเพื่อให้โลหิตหมุนเวียนดี
7.ทำจิตใจให้ร่าเริงผ่องใส
เพราะ ความเครียดก็เป็นสาเหตุสำคัญ
ของการเกิดสิวค่ะ

วิธีรักษาสิว
การรักษาสิวต้องอาศัยเวลา
ส่วนใหญ่สิวจะดีขึ้น
หลังได้รับการรักษา1-2เดือน
แต่ถ้าเป็นไม่มาก
แค่รักษาความสะอาดให้ดี
เลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ
รวมกับใช้ยาทา
หรือยาฆ่าเชื้อP.acne
ในบางครั้ง
ต้องใช้ยาทาร่วมกันหลายชนิด
ในรายที่เป็นสิวรุนแรง
หรือเป็นเรื้อรัง


มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นมาก
อาจต้องใช้ยาทานร่วมด้วย
ปัจจุบันมียาหลายประเภท
ที่มีการนำมาใช้
เพื่อรักษาสิว
เช่นยาลดการอักเสบ
รวมทั้งยาปรับฮอร์โมน
ในกลุ่มยาต้านแอนโดรเจน
โดยเฉพาะกลุ่มที่มีผิวมัน
ทั้งนี้การเลือกใช้ยารับประทาน
ควรอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์
หรือเภสัชกรนะคะ